เมื่อทองเยาวราชเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นฯ

      บลจ.บัวหลวง เสนอขายกองทุนใหม่แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ในชื่อ ‘กองทุนเปิดบัวหลวงเชโกลด์อีทีเอฟ’ หรือ ‘BCHAY’  ซึ่งเป็น กองทุนรวมที่ลงทุนในทองคำ รูปแบบใหม่ และได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนจำนวนมากตั้งแต่ยังไม่เสนอขายหน่วยลงทุน
      
      
      BCHAY คือ กองทุนรวมประเภทกองทุนอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund, ETF) ที่มีนโยบายลงทุนในทองคำแท่งในประเทศ ตามมาตรฐานทองคำในบ้านเรา นั่นคือความบริสุทธิ์ไม่น้อยกว่า 96.5% และนำหน่วยลงทุนไปจดทะเบียนซื้อขายใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยการจัดตั้งกองทุนนี้ ธนาคารกรุงเทพ บลจ.บัวหลวง และ บล.บัวหลวง ได้ร่วมมือกับพันธมิตรร้านทองใหญ่แห่งย่านเยาวราช  อาทิ บริษัท ห้างขายทองจินฮั้วเฮง จำกัด บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัซ จำกัด บริษัท ออสสิริส จำกัด และบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ค้าทองคำรายใหญ่ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในประเทศไทย รวมถึงทองคำที่กองทุนจะลงทุน ก็เป็นทองคำมาตรฐานความบริสุทธิ์ 96.5% ที่ผลิตขึ้นมา โดยร้านทองเหล่านี้ด้วย

      
      กองทุนอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund, ETF) คือ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ประเภทหนึ่ง ที่จะมีการนำหน่วยลงทุนไปจดทะเบียนให้ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยกองทุนอีทีเอฟจะมีแนวทางการบริหารเหมือนกองทุนรวมดัชนีทั่วๆ ไป กล่าวคือ ลงทุนในทรัพย์สินหรือตราสารที่กำหนดไว้ และมีเป้าหมายการบริหารจัดการให้ผลตอบแทนของกองทุนเปลี่ยนแปลงขึ้นลงโดยอิง กับราคาของตราสารหรือกลุ่มตราสารที่ลงทุน เช่น กองทุน SET50 ก็จะลงทุนในหุ้นและจะบริหารจัดการให้กองทุนมีผลตอบแทนเปลี่ยนแปลงไปในทาง เดียวกับการเปลี่ยนแปลงดัชนี SET50 หรือกองทุนอีทีเอฟทองคำ ก็จะมีนโยบายการลงทุนในทองคำแท่งหรือหน่วยลงทุนกองทุนทองคำในต่างประเทศ (เช่น SPDR Gold Trust) และมีราคาก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามราคาทองคำ ที่อ้างอิงนั้นๆ กรณี BCHAY คือราคาทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5% ที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำ

      
      สำหรับวิธีบริหารกองทุน BCHAY นั้น บลจ.บัวหลวง ในฐานะผู้บริหารกองทุนจะนำเงินลงทุนของผู้ลงทุนไปซื้อทองคำแท่งความ บริสุทธิ์ 96.5% มาเก็บไว้ เมื่อราคาทองคำแท่งมีราคาเปลี่ยนแปลงขึ้นลง มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ก็จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงไปในทิศทางเดียวกันด้วย เพราะทรัพย์สินที่กองทุนลงทุนและต้องคำนวณราคาตามก็คือทองคำ 96.5% นั่นเอง
      

      กองทุน BCHAY จะถูกเก็บรักษาไว้ ณสถานที่เก็บรักษาทองคำ และบริหารการจัดเก็บโดยบริษัท Brink’s (Thailand) Limited ภายใต้การรับผิดชอบของผู้ดูแลผลประโยชน์ ในที่นี้ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย โดยทองคำที่จะเก็บเข้ากองทุน จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบวิเคราะห์คุณภาพ โดยวิธีสุ่มตรวจจาก สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) ซึ่งเป็นองค์การมหาชนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ด้วย ทั้งนี้ GIT เป็นหน่วยงานที่เป็นที่ยอมรับในอตุสาหกรรมผู้ค้าทองคำในประเทศไทยมาช้านาน
      
      
       สำหรับ การซื้อขายกองทุน BCHAY นี้ จะแตกต่างจากกองทุนรวมทองคำอย่าง บัวหลวงโกลด์ฟันด์ (BGOLD) กล่าวคือ ผู้ลงทุนที่สนใจซื้อขายหน่วยลงทุน BCHAY จะต้องไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งบริษัทจัดการจะนำหน่วยลงทุนไปจดทะเบียนไว้ มีสัญลักษณ์สำหรับซื้อขายคือ BCHAY แทนที่จะซื้อขายผ่านธนาคารกรุงเทพในฐานะตัวแทนขายแบบกองทุน BGOLD และนอกจากนี้ยังมีบริการสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการซื้อหน่วยลงทุน BCHAY จำนวนมากก็สามารถติดต่อขอซื้อหน่วยลงทุนจากกองทุนผ่าน บล.บัวหลวง ในฐานะผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุน โดยไม่ต้องรอซื้อจากตลาดหลักทรัพย์ได้เช่นกัน

      
      การ ซื้อขาย BCHAY ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีข้อดีคือผู้ลงทุนจะทราบราคาซื้อขายทันที เหมือนการซื้อขายหุ้นตัวหนึ่ง ไม่ต้องรอราคา NAV สิ้นวันเหมือนกองทุนเปิดทั่วไป โดยราคาซื้อขายก็จะเป็นราคาตามสภาวะตลาดในขณะนั้นๆ อย่างไรก็ตามแม้ราคาซื้อขาย BCHAY ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นราคาตามความพอใจของผู้ซื้อผู้ขาย แต่กองทุน BCHAY ก็ถูกจัดให้มีระบบการดูแลไม่ให้เกิดความแตกต่างระหว่าง ราคาซื้อขายหน่วยลงทุน และมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) มากเกินไป รวมถึงคอยดูแลให้มีสภาพคล่องการซื้อขายหน่วยลงทุนในระดับที่เหมาะสมอีกด้วย
      

          ผู้สนใจสามารถจองซื้อหน่วยลงทุนกองทุน BCHAY ได้ที่สาขาธนาคารกรุงเทพ มูลค่าการจองซื้อขั้นต่ำเท่ากับ 30,000 บาท และเพิ่มเป็นทวีคูณของ 5,000 บาท ในราคาหน่วยลงทุนที่เสนอขาย และจัด สรรให้ผู้จองซื้อแต่ละรายเป็นทวีคูณของ 100 หน่วย เพื่อความสะดวกในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ กรณีมีเงินจองซื้อเหลือหลังการจัดสรรก็จะนำเงินจ่ายคืนเข้าบัญชีของผู้ถือ หน่วยต่อไป โดยหน่วยลงทุนภายหลังการจัดสรรจะนำเข้าบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์ ที่ผู้ถือหน่วยฯ ได้แจ้งไว้